วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สงครามร้อยปี (อารัมภบท)

สงครามร้อยปี
สงครามร้อยปี
ตามเข็มนาฬิกา จากบนซ้าย: จอห์นแห่งโบฮีเมีย ณ ยุทธการที่เครซี,
กองเรืออังกฤษและฝรั่งเศส-คาสตีลในยุทธนาวีที่ลาโรเชล,
พระเจ้าเฮนรีที่ 5 และกองทัพอังกฤษในยุทธการที่อาแซ็งกูร์,
โยนออฟอาร์คปลุกขวัญกำลังฝรั่งเศสในการล้อมออร์เลอ็อง
วันที่ค.ศ. 1337–1453 (116 ปี)
สถานที่ฝรั่งเศส กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ อังกฤษ สเปน
ผลลัพธ์ฝรั่งเศสชนะ
ราชวงศ์วาลัวรักษาราชบัลลังก์ฝรั่งเศส
ดินแดน
เปลื่ยน
อังกฤษได้เพลกาแล แต่เสียดินแดนในทวีปอื่นทั้งหมด
คู่ขัดแย้ง
Blason France moderne.svg ฝรั่งเศส
Royal Arms of the Kingdom of Scotland.svg สกอตแลนด์
Royal Arms of England (1399-1603).svg อังกฤษ
Blason fr Bourgogne.svg เบอร์กันดี

สงครามร้อยปี” (Hundred Years’ War) จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่สงครามที่รบราฆ่าฟันกันตลอดหนึ่งศตวรรษเหมือนชื่อ แต่ในความเป็นจริงแล้วสงครามร้อยปีเป็นชื่อเรียกรวมๆ ของสงครามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลากว่าหนึ่งศตวรรษระหว่าง ราชวงศ์แพนทาเจเนท (House of Plantagenet) ผู้ปกครองอังกฤษกับ ราชวงศ์วาลัว (House of Valois) ผู้ปกครองฝรั่งเศส ในช่วงปี ค.ศ. 1337-1453 โดยความขัดแย้งระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในครั้งนี้กินเวลารวมแล้วก็นับได้ถึง 116 ปีด้วยกัน
ถึงแม้สงครามร้อยปีจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1337 ทว่าความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสก็ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมานานแล้ว นั่นคือเรื่องราวของ กษัตริย์วิลเลียมผู้พิชิต (William the Conqueror) ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดยุคแห่งนอร์มันดีของฝรั่งเศสก่อนที่จะได้กลายมาเป็นกษัตริย์ของอังกฤษในภายหลัง การที่กษัตริย์วิลเลียมผู้เป็นดยุคแห่งนอร์มันดีได้กลายเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษนั้นได้ส่งผลให้ดินแดนริมชายฝั่งตอนเหนือเกือบทั้งหมดที่เป็นของพระองค์ได้เปลี่ยนมือจากฝรั่งเศสกลายเป็นของอังกฤษโดยชอบธรรม และในอีกหลายชั่วอายุคนต่อมา ก็มีดินแดนอีกหลายส่วนที่หลุดมือไปจากฝรั่งเศสด้วยเหตุผลทางการทูต นี่เองทำให้กษัตริย์ฝรั่งเศสรู้สึกขุ่นข้องหมองใจและเกิดสงครามยิบย่อยขึ้นตลอดมานับแต่นั้น (อังกฤษในช่วงกลางศตวรรษที่ 12 ถึงต้นศตวรรษที่ 13 นับได้ว่าเป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่และทรงอิทธิพลมาก โดยอังกฤษในช่วงนี้จะเป็นที่รู้จักกันดีโดยเหล่านักประวัติศาสตร์ในชื่อว่า “จักรวรรดิอองชู” (Angevin Empire) )
และกาลเวลาก็เปลี่ยนผ่านไปจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1316 เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 10 แห่งฝรั่งเศส (Louis X of France) เสด็จสวรรคตและไม่มีพระราชโอรส นั่นส่งผลให้พระราชธิดาของพระองค์ควรจะได้ขึ้นเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศสแทน ทว่าพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งฝรั่งเศส (Philip V of France) ผู้เป็นพระอนุชากลับได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนโดยการใช้ข้ออ้างที่ว่า “ผู้หญิงไม่ควรมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์” นี่เองก็คือเหตุผลที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา เพราะเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงในปี ค.ศ. 1322 พระองค์ก็ไม่มีพระราชโอรส และพระเจ้าชาร์ลที่ 4 แห่งฝรั่งเศส (Charles IV of France) ผู้เป็นพระอนุชาและได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสในอันดับถัดมาก็ไม่มีพระราชโอรสเช่นกัน ดังนั้นสิทธิ์ในบัลลังก์แห่งฝรั่งเศสจึงได้หลุดลอยไปถึงมือของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ (Edward III of England) ผู้เป็นพระนัดดาของพระเจ้าชาร์ลที่ 4 และเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 แห่งอังกฤษ (Edward II of England) กับเจ้าหญิงอิซาเบลลาแห่งฝรั่งเศส (Isabella of France) ผู้เป็นพระขนิษฐาที่เหลืออยู่หนึ่งเดียวของกษัตริย์ฝรั่งเศสทั้ง 3 พระองค์ที่เรากล่าวถึงไปก่อนหน้า

แม้ว่าจะเป็นสงครามของความขัดแย้งกันหลายด้านแต่ก็เป็นสงครามที่ที่ทำให้ทั้งฝ่ายอังกฤษเริ่มมีความรู้สึกถึงความเป็นชาตินิยม ทางด้านการทหารก็มีการนำอาวุธและยุทธวิธีใหม่ๆ มาใช้ที่ทำให้ระบบศักดินาที่ใช้การต่อสู้บนหลังม้าเป็นหลักเริ่มหมดความสำคัญลง ในด้านระบบการทหารก็มีการริเริ่มการใช้ทหารประจำการที่เลิกใช้กันไปตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทของเกษตรกร ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ทำให้เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การสงครามของยุคกลาง ในฝรั่งเศสการรุกรานของฝ่ายอังกฤษ, สงครามกลางเมือง, การระบาดของเชื้อโรค, ความอดอยาก และการเที่ยวปล้นสดมของทหารรับจ้างและโจรทำให้ประชากรลดจำนวนลงไปถึงสองในสามในช่วงเวลานี้ เมื่อต้องออกจากแผ่นดินใหญ่ยุโรปอังกฤษก็กลายเป็นชาติเกาะที่มีผลต่อนโยบายและปรัชญาของอังกฤษต่อมาถึง 500 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น