“สิ่งที่ขึ้นก็คือการพักรบกับดยุกแห่งเบอร์กันดีที่มีมาได้สิบห้าวัน แต่ท่านก็ไม่น่าที่จะต้องแปลกใจที่ข้าพเจ้ามิได้เข้าเมืองอย่างรีบร้อน ข้าพเจ้าไม่พึงพอใจกับการพักรบที่ว่านี้และไม่ทราบว่าจะต้องรักษาหรือไม่ แต่ถ้าจะรักษาก็เพียงเป็นการกระทำเพื่อเป็นเกียรติแก่พระมหากษัตริย์เท่านั้น: ไม่ว่า[ฝ่ายเบอร์กันดี]จะทำมิดีมิร้ายต่อสายเลือดของพระองค์อย่างใด, ข้าพเจ้าก็จะบำรุงรักษากองทัพหลวงไว้ในกรณีที่[ฝ่ายเบอร์กันดี]จะละเมิดสัญญาหลังจากสิบห้าวันนั้น” |
“จดหมายของฌานถึงประชาชนชาวเมืองแร็งส์, 5 สิงหาคม ค.ศ. 1429; Quicherat I, หน้า 246” |
ถูกจับ
หลังจากการล้อมเมืองชาริเต-เซอร์-ลัวร์ (Siège de La Charité) ในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมแล้ว ฌานก็เดินทัพต่อไปยังคองเพียญน์ (Compiègne) ในเดือนเมษายนต่อมาเพื่อป้องกันจากการถูกล้อมเมือง (Siège de Compiègne) โดยฝ่ายอังกฤษและเบอร์กันดี แต่การต่อสู้อย่างประปรายเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1430 นำไปสู่การจับกุมของฌาน เมื่อมีคำสั่งให้ถอยฌานก็ปฏิบัติตัวอย่างผู้นำโดยเป็นบุคคลสุดท้ายที่ทิ้งสนามรบ ฝ่ายเบอร์กันดีเข้าล้อมกองหลัง ฌานต้องลงจากหลังเพราะถูกโจมตีโดยกองขมังธนูและตอนแรกก็มิได้ยอมจำนนทันที
ตามธรรมเนียมของสมัยกลางการจับกุมเชลยสงคราม (prisonnier de guerre) เป็นการจับกุมแบบเรียกค่าไถ่ แต่ครอบครัวของฌานเป็นครอบครัวที่ยากจนจึงไม่สามารถหาเงินมาไถ่ตัวฌานจากที่คุมขังได้ นักประวัติหลายคนประณามพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ที่ไม่ทรงเข้ายุ่งเกี่ยวกับการช่วยเหลือฌานในกรณีนี้ ฌานเองพยายามหลบหนีหลายครั้งๆ หนึ่งโดยการกระโดดจากหอที่สูงจากพื้นดินราว 21 ที่แวร์ม็องดัว (Vermandois) ลงไปบนดินที่หยุ่นของคูเมืองแต่ไม่สำเร็จ หลังจากนั้นก็ถูกย้ายตัวไปเมืองอาร์ราส (Arras) ในเบอร์กันดี และในที่สุดรัฐบาลอังกฤษก็ขอซื้อตัวฌานจากฟิลลิปเดอะกูด โดยมีปีแยร์ โคชง (Pierre Cauchon) บิชอปแห่งโบเวส์ (Beauvais) ผู้เป็นผู้ฝักฝ่ายฝ่ายอังกฤษตั้งตนเป็นผู้มีบทบาทในการเจรจาต่อรองซื้อตัวและต่อมาในการพิจารณาคดีของฌาน

การพิจารณาคดีประณาม
การพิจารณาคดีในข้อหานอกรีต (hérésie) ของฌานมีมูลมาจากสถานะการณ์ทางการเมือง จอห์นแห่งแลงคาสเตอร์ ดยุกแห่งเบดฟอร์ดที่ 1 ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสในนามของพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ผู้เป็นหลาน เห็นว่าเมื่อฌานเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อการการราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 การลงโทษฌานจึงเท่ากับเป็นการบ่อนทำลายอำนาจอันถูกต้องตามกฎหมายของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 โดยตรง การดำเนินการทางกฎหมายเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1431 ที่รูอองซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐบาลผู้ยึดครองฝรั่งเศสของอังกฤษในขณะนั้น กระบวนการมีความลักลั่นในหลายประเด็น
ปัญหาใหญ่ๆ ที่พอสรุปได้ก็ได้แก่ อำนาจทางศาลของผู้พิพากษาปีแยร์ โคชงไม่ใช่อำนาจที่แท้จริงแต่เป็นอำนาจที่คิดค้นขึ้น; ปีแยร์ โคชงได้รับแต่งตั้งเพราะเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลอังกฤษและเป็นผู้ที่รับผิดชอบในค้าใช้จ่ายในการพิจารณาคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้น และพนักงานศาลนิโคลัส เบลลีย์ (Nicolas Bailly) ก็ได้รับจ้างให้รวบรวมคำให้การที่เป็นปฏิปักษ์ต่อฌานและไม่พบหลักฐานใดที่คัดค้าน ถ้าไม่มีหลักฐานดังกล่าวศาลก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอในการสนับสนุนข้อกล่าวหาสำหรับการพิจารณาคดี นอกจากนั้นศาลก็ยังละเมิดกฎหมายศาสนจักรที่ปฏิเสธไม่ให้ฌานมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย เมื่อเปิดการสอบสวนเป็นการสารธารณะเป็นครั้งแรกฌานก็ประท้วงว่าผู้ที่ปรากฏตัวในศาลทั้งหมดเป็นฝ่ายตรงข้ามและขอให้ศาลเชิญ “ผู้แทนทางศาสนาของฝรั่งเศส” มาร่วมในการพิจารณคดีด้วย
บันทึกการพิจารณาคดีแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีปัญญาอันเฉียบแหลมของฌาน สำเนาบันทึกข้อแลกเปลี่ยนต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างสุขุมอย่างมีปฏิภาณ เมื่อ “ถูกถามว่าเธอทราบไหมว่าเธออยู่ภายใต้การพิทักษ์ของพระเจ้า, ซึ่งฌานก็ให้ตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้ามิได้, ก็ขอให้พระองค์ทรงทำเช่นนั้น; แต่ถ้าข้าพเจ้าได้, ก็ขอให้พระองค์ทรงรักษาไว้เช่นนั้น” (Si je n'y suis, Dieu veuille m'y mettre; et si j'y suis, Dieu m'y veuille tenir) คำถามนี้เป็นคำถามลวง กฎของคริสตจักรระบุว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถทราบได้แน่นอนว่าอยู่ภายใต้การพิทักษ์ของพระเจ้า ถ้าฌานตอบรับก็เท่ากับเป็นการให้การที่เป็นโทษต่อตนเองในข้อหาว่านอกรีต (hérésie chrétienne) แต่ถ้าตอบปฏิเสธก็เท่ากับเป็นการสารภาพความผิดของตนเอง ผู้บันทึกคำให้การ Boisguillaume ให้การต่อมาว่าคำตอบดังกล่าวของฌานทำให้ผู้สืบสวนในศาลต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักเขียนบทละครจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์พบว่าบทโต้ตอบในศาลเป็นบทโต้ตอบที่น่าประทับใจจนนำสำเนาการบันทึกไปใช้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในบทละครเรื่อง “นักบุญฌาน” (Saint Joan)
ผู้เป็นฝ่ายศาลหลายคนต่อมาให้การในการพิจารณาคดีครั้งต่อมาว่าสำเนาคำให้การได้รับการประดิษฐ์เปลี่ยนแปลง (fabricate) เพื่อทำให้เห็นว่าฌานมีความผิดตามข้อกล่าวหา นักบวชหลายคนอ้างว่าต้องทำหน้าที่เพราะถูกบังคับที่รวมทั้งผู้ไต่สวนฌอง เลแมเตร (Jean LeMaitre) และบางคนอ้างว่าถึงกับได้รับการขู่ว่าจะถูกฆ่าจากฝ่ายอังกฤษ ภายใต้ข้อแนะนำในการไต่สวน ฌานควรจะถูกจำขังในที่จำขังสำหรับนักโทษที่ถูกกล่าวหาในข้อหาที่เกี่ยวกับศาสนาเท่านั้นและควรจะมีผู้คุมเป็นสตรี (เช่นแม่ชี) แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นฌานกลับถูกจำขังร่วมกับนักโทษในข้อหาทางฆราวาสและคุมโดยทหารด้วยกัน ปีแยร์ โคชงปฏิเสธคำร้องของฌานต่อสภาบาทหลวงแห่งบาเซิล (Conseil de Basel) และพระสันตะปาปาซึ่งถ้าทำได้ก็เท่ากับเป็นการยุติการดำเนินการพิจารณาคดีของศาล
ข้อหาสิบสองข้อที่สรุปโดยศาลขัดกับบันทึกของศาลเองที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง จำเลยผู้ไม่มีการศึกษายอมลงชื่อในเอกสารการบอกสละโดยสาบาน (abjuration) โดยปราศจากความเข้าใจถึงเนื้อหาและความหมายภายใต้การขู่เข็ญว่าจะถูกประหารชีวิต นอกจากนั้นศาลก็ยังได้สลับเอกสารการบอกสละโดยสาบานฉบับอื่นกับเอกสารที่ใช้อย่างเป็นทางการ

การประหารชีวิต
ความผิดในการนอกรีตเป็นความผิดที่มีโทษถึงตายสำหรับผู้ปฏิบัติซ้ำสอง ฌานยอมแต่งตัวอย่างสตรีเมื่อถูกจับแต่สองสามวันต่อมาก็ถูกข่มขืนในที่จำขัง ฌานจึงกลับไปแต่งตัวเป็นผู้ชายอีกซึ่งอาจจะเป็นการทำเพื่อเลี่ยงการถูกทำร้ายในฐานะที่เป็นสตรีหรือตามคำให้การของฌอง มาส์เซอที่กล่าวว่าเสื้อผ้าของฌานถูกขโมยและไม่เหลืออะไรไว้ให้สวม
พยานผู้เห็นเหตุการณ์บรรยายการประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็นเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1431 ว่าฌานถูกมัดกับเสาสูงหน้าตลาดเก่าในรูอ็อง ฌานขอให้บาทหลวงมาร์แต็ง ลาด์เวนู และบาทหลวงอิแซงบาร์ต เด ลา ปิแยร์ถือกางเขนไว้ตรงหน้า หลังจากที่ฌานเสียชีวิตไปแล้วฝ่ายอังกฤษกวาดถ่านหินออกจนเห็นร่างที่ถูกเผาไหม้เพื่อให้เป็นที่ทราบกันว่าฌานเสียชีวิตจริงและมิได้หลบหนี เสร็จแล้วก็เผาร่างที่เหลืออีกสองครั้งเพื่อไม่ให้เหลือสิ่งใดที่สามารถเก็บไปเป็นเรลิกได้ หลังจากนั้นก็โยนสิ่งที่เหลือลงไปในแม่น้ำแซน เพชฌฆาตเจฟฟรัว เตราช (Geoffroy Therage) กล่าวต่อมาว่ามีความหวาดกลัวว่าจะถูกแช่ง
การพิจารณาคดีครั้งที่สอง
การพิจารณาคดีหลังจากที่ฌานเสียชีวิตไปแล้วเริ่มขึ้นหลังสงครามร้อยปียุติลง สมเด็จพระสันตะปาปาคาลิกซ์ตุสที่ 3 ทรงอนุมัติให้ดำเนินการพิจารณคดีของฌานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ตามคำร้องขอของผู้อำนวยการการไต่สวนฌอง เบรฮาล (Jean Brehal) และอิสซาเบลลา โรเมแม่ของฌาน การพิจารณาคดีครั้งนี้เรียกกันว่า “การพิจารณาคดีประณามเป็นโมฆะ” (procès en réhabilitation) ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีที่เป็นการสอบสวนการพิจารณาคดีครั้งแรกหรือที่เรียกว่า “การพิจารณาคดีประณาม” (procès en condamnation) และการตัดสินว่าเป็นการดำเนินการที่เป็นไปด้วยความยุติธรรมและตรงตามคริสต์ศาสนกฎบัตร
การสืบสวนเริ่มด้วยการไต่สวนนักบวช Guillaume Bouille โดยฌอง เบรฮาลเริ่มการสืบสวนในปี ค.ศ. 1452 และการอุทธรณ์อย่างเป็นทางการตามมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1455 การดำเนินการอุทธรณ์มีผู้เกี่ยวข้องจากทั่วยุโรปและเป็นไปตามกระบวนการพิจารณาคดีมาตรฐานของศาล
นักเทววิทยาคริสต์ศาสนาวิจัยคำให้การจากพยานด้วยกันทั้งหมด 115 คน เบรฮาลสรุปการวินิจจัยในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1456 ที่บรรยายฌานว่าเป็นมรณสักขีและกล่าวหาปีแยร์ โกชงผู้เสียชีวิตไปแล้วว่าเป็นผู้นอกรีตเพราะเป็นผู้ลงโทษผู้บริสุทธิ์เพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตนเองทางโลก ศาลประกาศว่าฌานเป็นผู้บริสุทธิ์เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1456
อนาโตล ฟรานซ์ เขียนบันทึกไว้ว่า เดือนพฤษภาคม 1437 ราว 5 ปี หลังจากฌานถูกเผาที่รูอัง มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เมืองลอเรน เธอมาบอกว่าเป็นฌาน ออฟ อาร์ค น่าแปลกที่น้องชายสองคนของฌาน ออฟ อาร์คและสหายสนิทต่างให้ความสนับสนุนเธอว่าคือฌาน ออฟ อาร์ค ตัวจริง แม้ไม่มีใครทราบว่าเธอรอดจากการถูกเผาอย่างไร แต่หลายฝ่ายเดาว่าอาจมีการสลับตัวนักโทษตอนวันประหาร
ต่อมาสตรีผู้นั้นได้แต่งงานกับโรเบิร์ต เดซามัวร์ และมีบุตรสองคน จากนั้นเธอก็ไปเข้าเฝ้าชาร์ลส์ที่ 7 แล้ว ภายหลังพระองค์ได้ประกาศว่าเธอเป็นฌาน ดาร์กตัวปลอม เธอถูกบังคับให้สารภาพต่อหน้าสาธารณชนในปารีส เธอสารภาพว่าเป็นทหารประจำองค์พระสันตะปาปานึกคิดสนุกว่าอยากเป็นฌาน ดาร์ก ในที่สุดเธอคนนั้นก็ถูกปล่อยตัวไปใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบๆ กับครอบครัวที่เมืองเมทซ์ แต่เพื่อนและญาติยังถือว่าเธอเป็นฌาน ดาร์กอยู่ และปริศนาของฌาน ดาร์ก ก็ยังไม่สามารถไขได้จนถึงทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น